10 ผลไม้ลดอ้วน สุขภาพดี ผอมจริง!!!

สำหรับสาวๆหรือหนุ่มๆที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และลดพุงแต่ก็ยังชอบการกินขนมหวานกินของจุกจิกตลอดวันจนติดเป็นนิสัยและถ้ายังรักการกินอยู่ตลอดๆแต่ไม่อยากอ้วนลงพุง เราขอแนะนำผลไม้ที่กินเท่าไร้ เท่าไรก็ไม่อ้วน แถมยังอิ่มท้อง ผิวสวยและยังควบคุมน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียว

1.สับปะรด ลดพุงเพราะสับปะรดเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยและเอนไซม์ ที่สามารถช่วยให้ขับถ่ายได้ดี และยังช่วยลดพุง นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีและสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยทำให้ผิวดี เปล่งปลั่งกระจ่างใสอีกด้วยนะคะ

2.แอปเปิ้ลเขียว ไม่อ้วนเป็นผลไม้ที่ทานได้ดีมีวิตามินชีอยู่มาก กินแล้วดีต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำให้ป่วยยาก และยังสามารถใช้กินแทนระหว่างมื้ออาหารโดยไม่ต้องกลัวอ้วน

3.ฝรั่ง แคลลอรี่ต่ำและยังอุดมไปด้วยเส้นใย วิตามิน โปรตีน และแร่ธาตุ ช่วยทำให้อิ่มง่าย กินแทนของหวานได้ดี และยังช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้เป็นอย่างดีทีเดียว

4.มะนาว ช่วยเผาพลาญเพราะในมะนาวมีโพลีฟิน ที่ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินในกระเพาะอาหาร พร้อมช่วยเผาพลาญระบบย่อยอาหารทำให้ขับถ่ายได้ดี และในมะนาวยังอุดมไปด้วยวิตามินซีจำนวนมากและยังทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งได้ด้วย

5.แตงโม ทำให้อิ่มไว้ไม่อ้วนเพราะในแตงโมอุดมไปด้วยเส้นใย น้ำ มีส่วนช่วยทำให้อิ่มไว แถมยังแคลอรี่ต่ำกินแล้วไม่อ้วน และมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยลดความดันเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจอีกด้วย

6.มะละกอ ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง สาวๆและหนุ่มๆคนไหนที่ขับถ่ายยาก ลองทานมะละกอสุกดูนะคะ เพราะมะละกอสุกอุดมไปด้วยเบต้าเคโรทินเส้นใยไฟเบอร์สูง ที่ช่วยย่อยอาหารที่ย่อยยากทำให้ขับถ่ายคล่องและยังทำให้สุขภาพภายในดี ป้องกันโรคมะเร็งได้ดีอีกด้วย

7.แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูงแถมยังแคลอรีต่ำอีกด้วย กินเพลินๆก็ทำให้อิ่มท้องได้ดีทีเดียว แต่สำหรับใครที่เบื่อแก้วมังกรเปล่าๆก็สามารถนำไปทานคู่กับสลัดหรือผักอื่นๆได้อีกด้วย บอกได้คำเดียว อร่อยมากกกก!!

8.ส้ม ถือเป็นผลไม้ที่หลายๆคนชอบกินเพื่อลดน้ำหนักเพราะแคลอรีต่ำ ส้มยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นด้วย เพราะมีกากใยสูง ช่วยทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น ซึงถ้าระบบขับถ่ายดีขึ้น พุงยุบแน่นอนจ้าสาวๆหนุ่มๆ

9.ชมพู่ มีเส้นใยอาหารที่ดีต่อระบบขับถ่าย ทั้งยังช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลและระดับไขมันในเลือดได้อีกด้วย นอกจากประโยชน์ด้านการลดน้ำหนักแล้ว ชมพู่ยังเป็นผลไม้ที่มีไลโคพีน(Lycopiene) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อร่างกาย และการกินชมพู่สดเป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ รวมถึงโรคเกี่ยวกับหัวใจทำให้หัวใจแข็งแรง

10.บูลเบอร์รี่เป็นผลไม้ลูกเล็กแต่ในตระกูลเบอร์รี่ต้องยกให้บูลเบอร์รี่เพราะเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ช่วยลดน้ำหนักได้ดี มีเส้นใยมาก ช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนานและยังช่วยเผาพลาญไขมันได้ดี อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอเซลล์มะเร็ง ช่วยบำรุงเลือด บำรุงผิวพรรณทำให้ผิวสดใส เปล่งปลั่ง ดูผิวสวยมีสุขภาพดีอีกด้วย

โดยผลไม้ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำ ช่วยให้อิ่มนาน แถมยังช่วยให้ระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย หากใครคิดจะอดข้าวเย็นและอยากหยุดกินขนมจุกจิก แนะนำให้เลือกกินผลไม้เหล่านี้แทนนะคะ ไม่อ้วน ขับถ่ายคล่อง ลดพุง อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ผิวสวย ต้านมะเร็ง ลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงหัวใจ บำรุงสมอง…………เราจะผอมและสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ

สู้ สู้ ค่ะ✌✌

เทคนิคพิชิตหนี้บัตรเครดิต

ปัจจุบันนี้มีหลายคนต้องพบเจอกับปัญหาการจ่ายหนี้บัตรเครดิตที่แต่ละคนถือกันจำนวนละหลายๆใบ ตอนทำก็รู้สึกดีมีเงินใช้ จะใช้จะจ่ายอะไรก็สะดวกสบาย และก็มั่นใจว่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่ก็จะสามารถจ่ายคืนได้เต็มจำนวนเงินที่ใช้ไป “เชื่อว่าทุกคนคิดแบบนี้” แต่ชีวิตจริงคนจำนวนมากไม่ได้เป็นเช่นนั้น บัตรเครดิตทุกใบใช้เต็มวงเงิน จ่ายคืนขั้นต่ำ (จ่ายปุ๊บกดใช้ปั๊บ) สุดท้ายเงินเดือนที่หามาได้ จ่ายขั้นต่ำยังไม่พอ ทำให้หลายคนเครียด วิตกกังวล และกลุ้มใจกับปัญหาหนี้สินจำนวนมาก ลองมาอ่านเทคนิคดีๆ ที่อยากแชร์ให้ทุกคนที่เจอปัญหาเดียวกันลองทำดูนะคะ

1.หยุดจ่ายขั้นต่ำ เพราะการจ่ายขั้นต่ำบริษัทบัตรเครดิตจะเริ่มคิดดอกเบี้ยจากเงินที่เราค้างจ่ายเป็นรายวัน ” ดอกเบี้ยรายวัน” นี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของหนี้ที่งอกออกมา ดังนั้นเราควรพยายามชำระหนี้สินที่งอกออกมาให้หมดเร็วที่สุดค่ะ แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ควรทำดังนี้

แยกยอดหนี้ : แต่ละบัตร ว่ายอดเท่าไหร และต้องจ่ายขั้นต่ำเท่าไหร “อย่ารวมยอดหนี้ทุกบัตรเป็นก้อนเดียว” ให้พยายามไล่ปิดไปทีละบัตรให้ได้

2.เริ่มทยอยชำระหนี้ ควรมีรายรับที่ค่อนข้างคงที่ในแต่ละเดือน เมื่อเรารู้ว่าขั้นต่ำเราต้องจ่ายเท่าไหร นั่นแปลว่า เราต้องหารายรับที่จะจ่ายมันให้ได้ “งานประจำ งานเสริม” ทำเถอะค่ะ เสื้อผ้าเก่า ของเก่าที่พอมีมูลค่า ขายได้ก็ขาย อย่าอาย และอดทนอย่าก่อหนี้เพิ่มอีก ถ้าคุณอยาก “หมดหนี้”

3.ใช้จ่ายทุกอย่างด้วยเงินสด เวลาที่เราใช้จ่ายด้วยเงินสด เงินในกระเป๋าของเราจะลดลงทันทีทำให้เราไม่กล้าที่จะจ่ายเงินมากเกินจำนวนที่เราหามา ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกให้หมด ทำการบันทึกรายรับ รายจ่าย แบบง่ายๆด้วยการเก็บบิลค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนเอาไว้เมื่อสิ้นสุดเดือน เราควรแยกส่วนของรายจ่ายหลักๆ ค่ากินค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถ ค่าบ้าน ค่าเดินทาง และอื่นๆทำแบบนี้เราจะมองเห็นชัดเจนและสามารถวางแผนตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก เพื่อมาชำระหนี้บัตรเครดิต อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นภาระที่ต้องจ่าย ก็ควรที่จะจ่ายให้หมดนะคะ

4.พิจารณาหยุดจ่าย (ทำแฮคัต) ถ้าคุณมองแล้วว่า ยอดหนี้สินเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก จ่ายกี่ปีก็คิดว่าไม่หมดให้ “หยุดจ่าย”และขอเจรจากับทางธนาคาร เพื่อขอส่วนลดจากธนาคาร แต่…กรณีนี้ คุณต้องเตรียมรับอะไรหลายอย่าง ทั้งการทวงหนี้ อาจรวมไปถึงการดำเนินการฟ้องร้อง เสียเครดิต คุณต้องรับมันให้ได้ และเมื่อตั้งใจจะหยุดจ่ายแล้ว คุณต้องเอาเงินที่เคยจ่ายขั้นต่ำ “เก็บเป็นเงินก้อน” ห้ามเอาไปใช้จ่ายในสิ่งที่ยังไม่จำเป็น (สำคัญมาก คือ การแยกแยะในสิ่งที่จำเป็นให้ได้ เพื่อตัวคุณเอง) บางที ทางธนาคารอาจเสนอส่วนลด 10% 20% หรือมากสุดอาจถึง 60 % จากยอดหนี้ทั้งหมดเลยก็ได้ ถ้าคุณมีเงินก้อนสำรองพอ คุณก็จะสามารถจ่ายหนี้และปิดบัตรเครดิตได้อย่างง่ายดาย
***วิธีนี้ถือว่าเสี่ยงมาก คุณต้องมั่นใจในการเก็บเงินและการวางแผนในการใช้เงินของคุณไม่เช่นนั้น คุณอาจถูกฟ้อง และถ้าไม่มีจ่าย อาจถึงขั้นยึดทรัพย์ตามมาได้***

5.หยุดพฤติกรรม “กู้หนี้ มาจ่ายหนี้” เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ ยอดหนี้สินที่กำลังจะหมดของคุณกลับเพิ่มมากขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

6.รักษาวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากเราไม่ต้องการกลับไปเป็นหนี้เหมือนเช่นเดิมอีก

สุดท้ายขั้นตอนต่างๆอาจจะดูยากแต่หากว่าเราทำได้ โอกาสที่เราจะเริ่มต้นใหม่กับ “ขีวิตที่ปราศจากหนี้สิน” ก็สามาถทำได้นะคะ เราผ่านมันมาแล้ว และหวังว่าบทความข้างต้นจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่กำลังประสบปัญหาในแบบเดียวกัน ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน หมดหนี้ ไปด้วยกันค่ะ

สู้ สู้ นะคะ✌✌

ชีวิตหลังตกงาน

มีหลายคนบอกว่า “เบื่องานประจำ” อยากหางานที่อิสระทำ บางคนไม่ได้เบื่อแต่ต้องออกจากงานด้วยเห็นผลจำเป็นหลายอย่าง แต่สุดท้ายอย่าลืมนะคะ ว่าทุกคนต้องทำงาน อาจจะทำงานหนักบ้างเบาบ้างต่างกันไป

สิ่งแรกที่ควรทำหลังตกงาน

1. แจ้งประกันสังคม เพื่อรับสิทธิประโยชน์จากประกันสังคม แต่ต้องเข้าหลักเกณฑ์คือ เมื่อผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบในส่วนของกรณีว่างงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายในระยะเวลาไม่เกิน 15 เดือนก่อนออกจากงาน (ถูกเลิกจ้างหรือลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างตามกำหนดระยะเวลา) โดยไม่มีความผิดทางกฎหมาย

กรณีถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินทดแทนระหว่างว่างงานปีละไม่เกิน 180 วันในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย โดยคำนาณจากฐานเงินสมทบขั้นต่ำ เดือนละ 1650 บาท และฐานเงินสมทบสูงสุด ไม่เกิน 15000 บาท ตัวอย่างเช่น เงินเดือน 10000 บาทจะได้รับเดือนละ 5000 บาท

กรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาตามกำหนดระยะเวลา จะได้รับเงินทดแทนระหว่างว่างงานปีละไม่เกิน 90 วันในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างเฉลี่ย โดยคำนาณจากฐานเงินสมทบขั้นต่ำ เดือนละ 1650 บาท และฐานเงินสมทบสูงสุด ไม่เกิน 15000 บาท ตัวอย่างเช่น เงินเดือน 10000 บาทจะได้รับเดือนละ 3000 บาท

เมื่อผู้ประกันตนสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน(ลาออก)สามารถใช้สิทธิประกันสังคมต่อได้อีก 6 เดือน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

2. เงินเก็บ หรือ เงินฉุกเฉินอื่นๆพอมีไหม เพราะการที่เรามีเงินสำรองไว้เพื่อใช้จ่ายอย่างน้อย 3-6 เดือนจะเป็นเรื่องดีมาก เพราะเริ่องเงินเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากค่ะ และสิ่งที่ควรทำอีกอย่างคือการประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด และอย่าสร้างภาระเพิ่มให้กับตัวเองรวมถึงคนอื่นๆด้วย เช่น เพื่อนฟูง ญาติพี่น้อง พ่อ แม่ นี่ยิ่งไม่สมควรอย่างมาก ควรคิดว่าเราจะทำประโยชน์อะไรให้เขาได้บ้างในยามที่เราตกงาน ควรคิดไว้เสมอว่าอย่าทำให้เขาต้องลำบากไปกับเรา

3.ควรหางานหรืออะไรก็ได้ทำไปก่อน งานอะไรก็ได้ที่ทำให้ตัวเองมีรายได้ รับจ้างตัดหญ้า ทำความสะอาดบ้าน ขายของตลาดนัด ขายเสื้อผ้ามือสอง ” ย้ำว่าอะไรก็ได้ ” ควรทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะสร้างปัญหาชีวิตไปมากกว่านี้ อย่ารอเวลา ตราบใดที่ยังมีความสามารถ ยังมีมือมีเท้า และสุดท้ายยังมีลมหายใจ ควรเริ่มใหม่ให้เร็วที่สุด อย่ามัวนิ่ง นั่ง นอน และคิดถึงแต่สิ่งที่ผ่านมาบอกเลยค่ะ “ไม่มีประโยชน์” ออกไปหางานทำเท่านั้นค่ะ ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเองค่ะ

4.มองหาธุรกิจใหม่เพื่อสร้างรายได้ ในปัจจุบันนอกจากงานประจำในบริษัทต่างๆแล้ว ยังมีธุรกิจอีกมากมายที่เกิดขึ้นมา เช่น ทำYoutube ขายของ Online รับจ้างPost ขายของ หรือมองหาความสามารถตัวเองว่า ตัวเองชอบทำอะไร หรือจะทำอะไรได้ดี ทุกคนมีความสามารถเป็นของตนเองไม่มีใครรู้นอกจากตัวเอง หามันให้เจอนะคะ และเอามันออกมาใช้ให้ได้มากที่สุดค่ะ ” อย่ายอมแพ้ ”

สุดท้ายชีวิตทุกชีวิตเกิดมาต้องอยู่กับคำว่า “สู้” ในช่วงหนึ่งของชีวิตของทุกคนต้องมีปัญหาบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา บางคนเจอปัญหามากบางคนเจอปัญหาน้อย แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ขอให้ชีวิตหลังตกงานของทุกคนผ่านไปได้เร็วๆนะคะ และนำเอาช่วงเวลาแบบที่เป็นอยู่เก็บไว้เตือนสติตนเองเสมอว่า ก่อนที่จะลาออกจากงาน หรือหลายๆเหตุผลที่ทำให้เราตกงาน ไม่มีงานทำ ควรคิดทบทวน ไตร่ตรองหลายๆรอบว่า ออกงาน ตกงาน ไม่มีงานทำ แล้วเราจะทำอะไร ” ชีวิตหลังตกงาน ” ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีใครเห็นค่าของเรา……… บอกเลยค่ะ “มันเจ็บปวดจริงๆ”

ขอให้ทุกคน สู้ สู้ นะคะ✌✌

การเริ่มขายของตลาดนัดทั่วไป.

การเริ่มขายของตลาดนัดของคนที่ไม่เคยก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนอย่างไร สำหรับเราแล้วสิ่งแรกที่มีและทำคือ “ ความกล้า”จากตัวเองล้วนๆเลย มาดูเลยดีกว่าว่าต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง
1.สินค้าที่ต้องการขาย เริ่มจากเราจะขายอะไร จะขายได้ไหม ขายได้แล้วได้กำไรหรือเปล่า —-เพราะสุดท้ายคือต้องการกำไร ไม่ใช่ต้องการว่า”ขายของได้”

2.หาตลาดที่ต้องการจะนำสินค้าไปขายว่าสินค้าเราเหมาะกับตลาดนั่นๆหรือไม่

3.ราคาค่าเช่าพื้นที่. อันนี้อยู่ที่เราเลือกว่าจะจ่ายค่าเช่าได้เท่าไหร่. ก็เป็นเรื่องปกติถ้าเราต้องการตลาดที่มีลูกค้าเยอะค่าเช่าก็แพงถ้าลูกค้าน้อยค่าเช่าก็จะถูกลง ดังนั้นอยู่ที่เราเลือกว่าจะเลือกแบบไหน ***ถ้าค่าเช่าแพงเราขายของได้ และกำไรเยอะ****ทุกอย่างจบ!!!

4.ทำเลพื้นที่ในตลาดก็เป็นสำคัญ อยู่ตรงไหนของตลาดแล้วลูกค้าจะเดินผ่านและเห็นร้านเรา

5.เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ดำเนินการติดต่อเช่าพื้นที่กับทางตลาดได้เลย(ขั้นตอนนี้ก็แอบตื่นเต้นนิดหน่อยสำหรับพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่) แต่ทุกอย่างอยู่ที่ความกล้าอย่างที่บอกในตอนต้น

6.เมื่อได้เลขที่ร้านที่เช่าพร้อมจ่ายเงินเรียบร้อยก็สอบถามผู้ที่ให้เช่าว่าอยู่ประมาณตรงไหนของตลาด ถ้าตลาดใหญ่และมีระบบที่ดีก็จะมีผังบอก แต่ตลาดบางที่ก็ไม่มีผังบอกต้องเดินหาเอง และในบางที่ตรงไหนว่างตั้งได้เลย****แต่ระวังทับพื้นที่ผู้เช่าเดิม**** เราต้องถามร้านเช่าข้างๆว่ามีคนขายตรงนี้ประจำไหมเพื่อความปลอดภัยจะได้ไม่ต้องย้าย และเพื่อสายสัมพันธ์อันดีของผู้ขายด้วยกัน

7.ขั้นตอนการขนของลงเพื่อขาย ถ้าของเยอะก็ควรมาที่แผงก่อนเวลาเร็วหน่อยเพราะถ้ามาถึงช้าที่จอดรถจะหายากและจราจรในตลาดจะหนาแน่มากแต่บางที่สามารถจอดรถและขายได้เลย

8.ขั้นตอนสุดท้ายก็เริ่มขายของได้เลย การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน จะช่วยทำให้เรามีลูกค้าประจำและบอกต่อ รวมถึงการได้รับความช่วยเหลือต่างๆมากมายจากเพื่อนร่วมอาชีพ

สำหรับตนเองได้มีโอกาสไปขายตามตลาดนัดหลายที่ ได้พบเจอผู้คนมากมาย ทั้งลูกค้าที่น่ารักและเพื่อนร่วมอาชีพที่มีน้ำใจและช่วยเหลือแม่ค้ามือใหม่อย่างเราในทุกๆตลาด
แต่ในทุกทีก็มีทั้งคนดีและไม่ดี ก็ขอให้แม่ค้าพ่อค้ามือใหม่ทุกคนสู้ และพร้อมรับกับทุกสภาพและสถานการณ์ที่เจอ
สุดท้ายทุกอย่างอยู่ที่ตนเองคิดและเลือกที่จะทำ ขออวยพรให้พ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ทุกคน ขายดี ร่ำรวยๆนะคะ

ค้างจ่ายภาษีอากรมีผลเสียมากกว่าที่คิด

การเสียภาษีอาการเป็นหน้าที่ของชาวไทยทุกคนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ภาษีอากร ก็มีหลายอย่างหลายประเภท เช่น ภาษีสรรพากร ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต และอื่นๆอีกมากมาย หากเป็นกรณี ที่จัดเก็บ ภาษีอากร ตามประมวลรัษฎากร ก็เป็นอำนาจ ของกรมสรรพากร เท่านั้น เมื่อรู้ตัวว่าตนเองต้องเสียภาษีแล้วนั้นก็ควรทำการชำระภาษีอากรให้ถูกต้องครบถ้วน มิฉะนั้นแล้วอาจจะได้รับความเสียหายมากกว่าที่คิด อย่าคิดว่าไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ใช้ไม่ได้กับการเสียภาษีนะคะ “คุณคิดผิด”

ประมวลรัษฎากร เป็นกฎหมายพิเศษ ที่ใช้สำหรับเก็บ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ และอีกทั้งยังมีมาตราการบังคับให้ชำระภาษีได้ในตัวเอง ชึ่งเป็นขั้นตอนพิเศษก่อนจะดำเนินการฟ้องคดีต่อศาล

ดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจมีมากกว่าที่คิดที่จะไม่เสียภาษีอาการให้แก่กรมสรรพากรสามารถแยกพิจารณาได้เป็น 3 กรณี

1.กรณีก่อนถูกกรมสรรพากรฟ้อง

เมื่อมีภาษีอาการที่ต้องเสียให้กับกรมสรรพากรแล้วไม่ยอมเสีย ต่อมาเจ้าหน้าที่สรรพากรตรวจพบและแจ้งการประเมินให้ทราบแล้วนั้น นอกจากจะเสียดอกเบี้ยสรรพากรในอัตราสูงถึงร้อยละ 1.5% ต่อเดือนและอาจโดนเบี้ยปรับเงินเพิ่มอีกด้วยแล้ว โปรดระวังตัวไว้เลยว่า กรมสรรพากรมีอำนาจพิเศษที่จะทำการเร่งรัดตรวจสอบทรัพย์สินต่างๆทุกชนิดได้ทันที โดยไม่ต้องรอฟ้องต่อศาล เช่น

– อาจยกทีมเร่งรัดมาถึงบ้านเพื่อตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่และทรัพย์สิน อาจสอบถามเพื่อนบ้านเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง อาจทำให้ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านรู้เรื่องกันหมดว่าติดหนี้หลวง ซึ่งทำให้อับอายได้

– กรณีเจ้าหน้าที่เร่งรัด มาส่งหนังสือทวงหนี้ที่บ้าน แล้วไม่ยอมรับ เจ้าหน้าที่เร่งรัด. อาจเรียกตำรวจ หรือกำนันผู้ใหญ่บ้าน มาเพื่อเป็นพยาน ในการปิดหมายก็สามารถทำได้ และจากเรื่องเล็กๆก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่

– หากลบหนีหรือย้ายที่อยู่ ทำให้เจ้าหน้าที่เร่งรัดหาไม่เจอ ก็อาจทำการประกาศออกสื่อ เช่น หนังสือพิมพ์

กรมสรรพากรก็ยังสามารถยืดหรืออายัดทรัพย์และขายทอดตลาดได้เลยโดยยังไม่ต้องฟ้องศาลก่อนก็ได้และเวลาทีมีอำนาจก็สามารถทำได้เป็นเวลานานถึง 10 ปี ซึ่งในระหว่างนี้ถ้ามีการยักย้ายทรัพย์สินก็จะมีความผิดทางอาญาเพิ่มขึ้นในฐานมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอาจติดคุกได้ เมื่อสรรพากรพบทรัพย์ที่สามารถยืดและอายัดได้ก็จะทำการยืดและอายัดทันที เช่น
– กรณีที่อายัด “ที่ดิน”แล้ว ที่ดินนั้นก็ไม่สามารถโอนขายต่อไปได้
– กรณีที่อายัด”เงินฝากในบัญชีธนาคาร”ทำให้บัญชีนั้นก็จะไม่สามารถทำการเบิกถอนและนำไปใช้ได้อีก

2.กรณีกรมสรรพากรนำคดีมาฟ้องต่อศาล
เป็นกรณีที่ผู้ค้างภาษีอากรยังไม่ยอมขำระภาษีอากรที่ค้างต่อกรมสรรพากร กรมสรรพากรก็ชอบด้วยกฎหมายที่จะสามารถดำเนินคดีทางศาลทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อไปได้ กรมสรรพากรสามารถไปฟ้องได้หลายศาล เช่น

– ฟ้องที่ศาลภาษีอากรกลาง เป็นกรณีที่สรรพากรไม่สามารถเร่งรัดเรียกเก็บหนี้ภาษีอากรค้างได้แล้ว และศาลนี้ก็มีที่เดียวคือที่กรุงเทพมหานครเท่านั้น ซึ่งผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดก็ต้องมาขึ้นศาลที่กรุงเทพ คือทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นรวมถึงต้องจ้างทนายในการว่าความ
อีกด้วย

– ฟ้องที่ศาลล้มละลายกลาง กรณีหนี้เข้าหลักเกณฑ์ฟ้องได้ จะทำให้ลูกหนี้อาจเสียสิทธิและเสรีภาพเพิ่มขึ้นและศาลนี้ก็มีที่เดียวคือที่กรุงเทพมหานครเท่านั้น ซึ่งผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดก็ต้องมาขึ้นศาลที่กรุงเทพ คือทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นรวมถึงต้องจ้างทนายในการว่าความหากต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว แม้จะยังไม่พิพากษาให้ล้มละลายก็ตาม ก็มีผลต่อสิทธิและเสรีภาพของลูกหนี้คือไม่สามารถออกนอกราชอาณาจักรได้ตามปกติจะต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสียก่อน แม้จะข้ามไปประเทศที่มีอาณาเขตติดกันชั่วคราว(Border pass)ก็ตามก็ไม่สามารถทำได้เสียแล้ว

– ฟ้องที่ศาลเดียวกับลูกหนี้ถูกฟ้องเกี่ยวกับทรัพย์ที่ขายทอดตลาดได้ โดยกรมสรรพากร สามารถขอเฉลี่ยหนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นศาลแพ่ง ศาลแพ่งพระนครเหนือ ศาลแพ่งธน ศาลจังหวัด ศาลแรงงานกลาง ก็สามารถทำได้

– ฟ้องที่ศาลอาญา กรณีทำผิดทางอาญาเช่นปลอมแปลงใบกำกับภาษี เช็คเด้ง หรือมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากร

3.กรณีหลังจากกรมสรรพากรฟ้องแล้ว
เมื่อศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาให้กรมสรรพากรชนะคดีแล้ว กรมสรรพากรก็สามารถดำเนินการบังคับคดีได้ตามกฎหมายได้อีกเป็นระยะเวลา 10 ปี และหากในระหว่างนั้นยังไม่ได้รับชำระภาษีอากรครบถ้วนและยังเข้าหลักเกณฑ์ที่จะฟ้องล้มละลายได้ กรมสรรพากรก็สามารถที่จะฟ้องยังศาลล้มละลายกลางได้อีกครั้งหนึ่ง

หากผู้ค้างภาษีอากรถึงแก่ความตายไปแล้วก็ตามก็ยังไม่หลุดพ้นหนี้ภาษีอากรที่จะต้องเสียให้แก่กรมสรรพากร ทายาทที่รับมรดกก็จะต้องนำมรดกที่ได้รับมาเสียภาษีอากรให้ครบถ้วนอีกด้วย

สุดท้ายนี้ก็ไม่สามารถที่จะหลบหนีการเสียภาษีอากรแก่กรมสรรพากรได้ ดังนั้นจึงขอให้ทุกท่านเสียภาษีอากรให้ครบถ้วน เพราะการไม่ชำระภาษีอากรมีผลเสียมากกว่าที่คิดจริงๆนะคะ

และสำหรับผู้ที่พลาดไปแล้วและเกิดกรณีต่างๆตามที่กล่าวมาในข้างต้นก็ขอให้มีสติ และผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะคะ สู้ สู้ ค่ะ ✌✌

การเตรียมตัวเมื่อถูกฟ้องล้มละลาย

การเป็นบุคคลล้มละลาย
( ในบทความจะยกตัวอย่างจากการถูกฟ้องล้มละลายโดยกรมสรรพากร) การถูกฟ้องล้มละลายโดยสรรพากรจะขึ้นศาล ที่ศาลฟ้องล้มละลายกลางที่แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานครเท่านั้น

การถูกฟ้องล้มละลายมาจากการมีหนี้สินจำนวนมาก และไม่สามารถชำระคืนได้ จึงถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย โดยการจะถูกฟ้องนั้นมีหลักเกณท์ดังนี้
1. บุคคลธรรมดา ที่มีหนี้สินเกินหนึ่งล้านบาท
2. นิติบุคคล ที่มีหนี้สินเกินสองล้านบาท
3. เป็นผู้ที่เข้าข่ายมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้ได้

หมายเหตุ การค้างจ่ายภาษียอดหนี้สินที่ทางสรรพากรฟ้องนั้น ได้นำเอาเบี้ยปรับเงินเพิ่มมาคิดเป็นหนี้รวมที่ลูกหนี้ต้องจ่าย เช่น เรามีหนี้อยู่
990000 บาทซึงไม่ถึง 1 ล้าน(ไม่สามารถฟ้องล้มได้) แต่ทางสรรพากรไม่ได้คิดเช่นนั้น จะนำเบี้ยปรับเงินเพิ่มมาคิดด้วย

ก่อนที่จะถูกฟ้องล้มละลาย
ทางสรรพากรจะทำการตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้ว่ามีอะไรบ้างที่ลูกหนี้ถือครองอยู่ รวมถึงทรัพยฺสินที่ติดไฟแนนซ์ด้วย
ถ้าทางผู้ถูกฟ้องมีการถือครองทรัพย์สิน เช่นบ้าน ที่ดิน รถยนต์ บัญชีต่างๆในธนาคาร และอื่นๆ ทางเจ้าหนี้( กรมสรรพากร) สามารถทำการอายัติและยืดทรัพย์ได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งศาล

หมายเหตุ ไม่ว่าบ้าน ที่ดิน รถยนต์ จะติดไฟแนนซ์อยู่ก็ตาม สามารถอายัติและขายทอดตลาด เมื่อขายได้จะนำเงินจ่ายคืนไฟแนนซ์ในส่วนที่ค้าง และถ้าเหลือก็นำใช้หนี้ให้สรรพากรสุดท้ายแล้วถ้ายังมีเงินเหลือหลังจากใช้หนี้ทั้งหมดแล้วจึงจะส่งคืนให้ลูกหนี้

การเป็นบุคคลล้มละลายมีผลอย่างไรกับชีวิตประจำวัน
1.ไม่สามารถทำนิติกรรม นิติกรรมสัญญาใดๆได้ทั้งสิ้นและการถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่างๆ รวมถึงธุรกรรมทางการเงินเช่นเปิดบัญชีธนาคาร
2. ไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆในบริษัทห้างร้านต่างๆ ยกเว้นแต่จะต้องได้รับอนุญาติจากศาลเสียก่อนจึงสามารถดำรงตำแหน่งได้
3. เมื่อลูกหนี้มีรายได้เข้ามาต้องทำการนำส่งเงินให้เจ้าหนี้ตามตกลง
4.ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ หากมีความจำเป็นต้องเดินทางจริงๆ ก็ทำการขออนุญาตจากพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สินก่อน โดยต้องแจ้งว่าจะไปที่ไหน ระยะเวลา จะมีรายได้เท่าไหร่และจะต้องนำส่งรายได้ ส่วนการจะอนุญาตหรือไม่นั้นอยู่ที่ดุจพินิจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หากได้รับอนุญาตให้ออกนอกประเทศจะต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทุกๆ 6 เดือน พร้อมทั้งส่งรายได้ตามที่ตกลงเข้ากองอายัติทรัพย์สินด้วย

ระยะเวลาในการถูกฟ้องล้มละลาย

1.จะมีระยะ 3 ปีเมิ่อครบกำหนดก็จะถูกปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย ยกเว้นไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหนี้ ก็อาจจะมีกาขยายเวลาไป 5 ปีหรือ 10 ปี
2.เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 3 ปีให้บุคคลล้มละลายติดต่อเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์สินเพื่อขอปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย
3.หลังจากถูกปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลายแล้วก็สามารถทำธุรกรรมต่างๆได้ตามปกติ รวมถึงหลุดพ้นจากหนี้สินทั้งปวงด้วย ยกเว้นแต่หนี้สินที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากรหรือหนี้สินที่เกิดจากการทุจริตฉ้อโกงตามพระราชบัญญัติ มาตรา 81/1

สุดท้ายถึงแม้ว่าการเป็นบคคลล้มละลายสามารถเกิดได้กับทุกคนทุกอาชีพก็ตาม แต่ถ้าเรามีการวางแผน มีวินัยในการบริหารเงิน รายรับและรายจ่ายรวมถึงบริหารหนี้สินที่ดี และสำหรับบริษัท ห้างร้าน(ขนาดเล็ก)ก็ต้องรอบครอบในการทำบัญชี การจ่ายภาษี ( ซึงการจ่ายภาษีขอให้เป็นอันดับแรกของการจ่ายหนี้สินทั้งหมด)

บทความนี้อาจมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยเพราะเกิดจากประสบการ์ณจริงที่ผู้เขียนได้ศีกษามาและขอให้ผู้ที่ถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลายใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีสติ รอบครอบ และนำมาเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตต่อไป

” จงอยู่กับความทุกข์ให้มีความสุขและจงอยู่กับความสุขให้มีความสุขเช่นกัน”
สู้ สู้ค่ะ ✌✌