จางเจียเจี้ย สะพานแก้วสูงและยาวที่สุดในโลก

ครั้งแรกกับการไปเที่ยวกับทัวร์ ทัวร์จีน จางเจียเจี้ย สะพานแก้วที่ยาวที่สุดในโลก ประตูสวรรค์ ที่แอดและครอบครัวตัดสินใจไปกับทัวร์ เนื่องจากเป็นประเทศจีน เราคิดว่าการไปกับทัวร์น่าจะสะดวกในการเดินทางและการเข้าชมสถานที่ต่างๆ

เริ่มกันเลยจ้า โปรแกรมทัวร์ทริปนี้ 4 วัน 3 คืนจ้า ออกเดินทางกันเลยทุกคน

เมื่อถึงสนามบินฉางชา ก่อนเข้าที่พักได้แวะเที่ยวชมห้างสรรพสินค้าและตลาดเพื่อชื้อของกินของใช้และเข้าที่พัก

เช้าวันที่สอง เที่ยวจางเจียเจี้ย เขาเทียนเหมินซาน หรือ ประตูสวรรค์( The Heaven ‘s Gate of Tianmen Shan) อยู่ในมณฑลหูหนานเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในจางเจียเจี้ย เป็นภูเขาที่สวยงามและมีลักษณะแปลกตามาก เนื่องจากมีช่องขนาดใหญ่ที่เกิดจากการระเบิดของธรรมชาติจนกลายเป็นภูเขาที่มีช่องว่างตรงกลาง เมื่อมองจากด้านล่างเหมือนเป็นประตูสู่สวรรค์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียกนั่นเองจ้า

การขึ้นไปชมประตูสวรรค์ สามารถเดินทางได้ 2 วิธีคือ ขึ้นกระเช้า (กระเช้าที่ยาวที่สุดในโลก ยาวถึง 7.5 กิโลเมตร) กับ ขึ้นรถบัสผ่านเส้นทางถนน 99 โค้งซึ่งปกตินักท่องเที่ยวส่วนมากก็จะขึ้นและลงคนละวิธีกัน แอดเองก็ขึ้นกระเช้าและลงด้วยรถบัสจ้า วิวสวยแตกต่างกันจริงๆค่ะ เลิศมากกกกก👍😄

เดินระเบียงกระจกริมหน้าผา

ระเบียงกระจกริมผา เป็นไฮไลท์ของเขาเทียนเหมินซาน ส่วนที่เป็นระเบียงกระจก พื้นปูด้วยกระจกใส ระยะประมาณ 60 เมตร ทำให้มองเห็นความสูงจากด้านล่างแบบหวาดเสียวสุดๆไปเลยจ้า ก่อนที่จะเข้าไปในส่วนของกระจกต้องสวมถุงผ้าสวมรองเท้าก่อนนะคะทุกคน

หลังจากเดินระเบียงกระจกริมผาเดินตามทางอ้อมภูเขา ก็จะเจอกับช่องประตูสวรรค์ที่เรามองเห็นจากด้านล่างนั่นเอง

ความสุดยอดของเขาเทียนเหมินซานยังไม่หมดจ้า เพราะอีกหนึ่งอย่างที่แอดเห็นแล้ว ถึงกับอยากเดินลงเลยทีเดียว 555555 บันได 999 ชั้น ที่ทอดยาวจากช่องประตูสวรรค์จนถึงจุดชมด้านล่าง ถามว่าไหวไหมตอบเลยว่าไม่ไหวจ้าาาา แล้วจะลงอย่างไงละทีนี่ ขึ้นชื่อว่าจีนแล้ว ทำได้ทุกอย่างจ้าทุกคน มีบันไดเลื่อนให้ลงค่ะ เย้ๆๆๆ เป็นบันไดเลื่อนที่สร้างโดยการเจาะช่องเขาด้านข้าง เป็นบันไดเลื่อนสิบกว่าช่วง ให้เรายืนสวยๆและเลื่อนขึ้น-ลงกันแบบสบายๆไม่เหนื่อยจ้าทุกคน😁😁

หลังจากลงบันไดแล้วต่อกันเลยจ้า นั่งรถบัสผ่าถนนโค้ง 99 โค้งที่แสนจะคดเคี้ยวอย่างที่เราเห็นตอนขึ้นกระเช้าเลย รถบัสต้องเป็นของอุทยานเท่านั้นนะคะ เพราะคนขับต้องเป็นเจ้าหน้าที่ที่ชำชาญเส้นทางเป็นอย่างดี ยาดม ยาอม ยาหม่อง พร้อม สู้✌️✌️

เช้าวันที่สาม สุดหวาดเสี้ยวไปกับสะพานแก้วที่ยาวและสูงที่สุดในโลก อยู่ในอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย สะพานนี้จะทอดยาวสองฝั่งผาในบริเวณZhangjiajie Grand Canyon ยาวถึง 430 เมตร กว้าง 6 เมตรและสูง 300 เมตร พื้นของสะพานจะเป็นพื้นกระจกใสสามารถมองเห็นวิวด้านล่างได้อย่างชัดเจน นอกจากวิวจะสวยงามมากแล้ว ยังหวาดเสียวในทุกย่างก้าวเลยจ้า😮

ได้ชมความสวยงามของสถานที่กันแล้วใช่ไหมคะ? บอกเลยว่ามากับทัวร์หายห่วงเรื่อง การเที่ยวไม่ครบ การต่อคิวจองตั้ว การตรงต่อเวลา และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้จ้า ➡️➡️

การมากับทัวร์ ต้องมีการแวะร้านรัฐบาล ชึ่งทุกทัวร์จะต้องพาแวะ เช่นร้านหยก ร้านยางพารา ร้านนวด ซึ่งต้องเข้าทุกคนส่วนใครจะหลงกล5555 ชื้อหรือไม่ซื้ออันนี้ไม่บังคับจ้า แอดก็ชื้อจ้า หลงเชื่อ หลงกล หรืออยากชื้อเอง อันนี้แอดก็ งงตัวเองอยู่จ้า 555

ภาพรวมกับการไปเที่ยวกับทัวร์จางเจียเจี้ย ในครั้งนี้ โดยรวมถือว่าโอเครมากๆนะคะ (ติดเรื่องเดียว เข้าร้านรัฐบาล😁😁 ) ซึ่งเราสามารถเลือกทัวร์ที่ไม่เข้าร้านรัฐบาลได้นะคะ แต่อาจเสียแพงขึ้นนิดหน่อยค่ะ ใครไม่เคยไปกับทัวร์ลองไปดูสักครั้งนะจ้า เปลี่ยนบรรยากาศและยังได้ประสบการณ์รวมถึงได้เพื่อนใหม่ๆด้วยค่ะทุกคน💕💕😁😁

ขอวีซ่าอิตาลี(Visa Italy)

ประเทศอิตาลี เป็นประเทศในฝันของใครหลายๆคน ที่อยากไปเที่ยวสักครั้งในชีวิต อิตาลีเป็นประเทศที่ สุดยอดแห่งศิลปะแดนยุโรป มีชื่อเสียงในเรื่องของประวัติศาสตร์อารยธรรมโรมัน ความงดงามและมีเสน่ห์ของศิลปะ ความเก่าแก่ที่สุดแสนจะคลาสสิคและยิ่งใหญ่ รวมทั้งยังเป็นเมืองแห่งแฟชั่นอีกด้วย

มาดูกันเลยจ้าทุกคน!!! จะขอวีซ่าเข้าประเทศอิตาลีต้องทำอย่างไรบ้าง

เอกสารยื่นขอวีซ่าอิตาลี

1.หนังสือเดินทาง( Passport) ต้องเหลืออายุการใช้งานได้เกิน 6 เดือนและมีหน้าว่างเหลืออย่างน้อย 2 หน้า นำตัวจริงพร้อมถ่ายสำเนาจำนวน 2 ใบ

2.รูปถ่ายสี พื้นหลังต้องเป็นสีขาวเท่านั้น ขนาด กว้าง 3.5 ซม. x สูง 4.5 ซม.จำนวน 2 รูป ( อายุการถ่ายไม่เกิน 6 เดือน) ห้ามสวมแว่นสายตา ห้ามตกแต่งภาพ ต้องไม่เห็นฟัน และรูปต้องเป็นภาพคมชัด ไม่มีเงา

3.เอกสารส่วนตัว สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน

4.หลักฐานการทำงาน

– เจ้าของธุรกิจ ใช้หนังสือจดทะเบียนธุรกิจ ที่ออกไม่เกิน 90 วัน

– พนักงานบริษัท ใช้จดหมายรับรองกสรทำงาน(ออกเป็นภาษาอังกฤษ) ที่ระบุ เงินเดือน ตำแหน่ง วันลาหยุด ฉบับจริงเท่านั้น อายุไม่เกิน 30 วัน

– นักเรียน/นักศึกษา ใช้จดหมายรับรอง จากสถาบันการศึกษา(ออกเป็นภาษาอังกฤษ)ฉบับจริงเท่านั้น อายุไม่เกิน 30 วัน

5.หลักฐานทางการเงิน สำเนาสมุดบัญชีหรือ Statement (บัญชีออมทรัพย์) ตัวจริงออกโดยธนาคารเท่านั้น ย้อนหลัง 3 เดือน โดยมีรายการเดินบัญชีไม่เกิน 30 วันนับจากวันที่ยื่น

6.กรอกแบบฟอร์มขอวีซ่าอิตาลี ( เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น) ให้ครบถ้วน

7.ใบจองตั๋วเครื่องบิน ( สามารถจองแบบยังไม่ได้เงินได้ เมื่อวีซ่าผ่านแล้วค่อยจ่าย)

8.ใบจองโรงแรม

9.แผนการเดินทางตลอดระยะเวลาที่ไป ( ภาษาอังกฤษ)

10.ประกันการเดินทาง ใบประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ มูลค่าความคุ้มครองอย่างต่ำ 30000 ยูโรหรือ 1,500,000 บาท (ครอบคุ้มจำนวนวันที่เราเดินทาง)

11.ใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล(ถ้ามี)

เอกสารทุกอย่างต้อง”แปลเป็นภาษาอังกฤษ” เอกสารที่ใช้ยื่นต้องมีอายุไม่เกิน 1 เดือนหรือตามที่ระบุไว้

กรณีไปเยี่ยมญาติ ครอบครัวและเพื่อน ที่อาศัยอยู่ประเทศอิตาลี และผู้เชิญออกค่าใช้จ่ายให้ เอกสารที่ต้องเตรียมมีดังนี้

1.จดหมายเขิญพร้อมลายเซนต์ของผู้เชิญและหนังสือรับรองการให้ที่พัก

2.สำเนาบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทางของผู้เชิญ

3.ถ้าคนในครอบครัวเป็นผู้เชิญ จะต้องมีสูติบัตร หรือทะเบียนบ้าน มาแสดงด้วย

4.ใบแบงค์การันตรี(Fidejussion) ที่ออกโดยธนาคารสัญชาติอิตาลี ตัวจริงหรือสำเนา

5.สำเนาใบอนุญาติพำนักในอิตาลี(ถ้ามี)

กรณีผู้เดินทางอายุต่ำกว่า 18 ปี เดินทางคนเดียว ต้องมีเอกสารดังนี้

1.สำเนาสูติบัตร และสำเนาทะเบียนบ้านพร้อมตัวแปลเป็นภาษาอังกฤษ

2.หนังสือยินยอมให้เด็กเดินทางไปต่างประเทศ จากบิดามารดา ที่ออกจากเขตหรืออำเภอ(ตัวจริงเท่านั้น) โดยเอกสารควรระบุว่า อนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศกับใครและมีความสัมพันธ์อย่างไร พร้อมแปลเป็นภาษาอังกฤษและรับรองเอกสาร ประทับตราจากกรมการกงศุลกระทรวงต่างประเทศ ก่อนนำมายื่นขอวีซ่า

หมายเหตุ ถ้าเดินทางกับบิดามารดา ก็เตรียมเอกสารตามข้อ 1 และในแบบฟอร์มขอวีซ่าบิดามารเป็นผู้เซนต์เอกสารทั้งหมด

🇮🇹อัตราค่าบริการ🇮🇹

ค่าธรรมเนียมสถานทูต 2960 บาท

เด็กอายุ 6-12 ปี 1480 บาท

ค่าบริการศูนย์รับยื่น VFS 500 บาท

ค่า SMS 75 บาท

ยื่นแบบพรีเมี่ยม 3200 บาท( สามารถ wall-in ได้โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า) ติดต่อหน้าเคาน์เตอร์ที่ ศูนย์รับยื่น VFS ได้เลยค่ะ

เวลาดำเนินการ ประมาณ 5-15 วันค่ะ

❗❗เอกสารและข้อมูลที่ใช้ยื่นวีซ่า อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับสถานทูต❗❗

เตรียมเอกสารให้ครบตามนี้นะคะ(สามารถปรึกษาแอดได้นะคะ😁😄) ขอให้วีซ่าผ่านนะทุกคน✌️✌️😄🇮🇹

เวนิส(Venice Italy)

เมืองเวนิส หรือ เวเนเซีย เมืองแห่งสายน้ำ ความสวยงามตรึงใจ จุดหมายปลายทางอันสุดแสนโรแมนติกของเหล่าคู่รักและนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ตั้งเป้าหมายว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปสักครั้ง…รวมแอดด้วยจ้า!!55555

เมืองเวนิส ตั้งอยู่แคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี ในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียติก(Adriatic Sea)เมืองเวนิสเกิดจากการเชื่อมเกาะเล็กๆจำนวนมากและมีสะพานเชื่อมมากกว่า 400 แห่งและยังเป็นเมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลกอีกด้วย

ด้วยความสวยงามราวกับภาพในฝันและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมืองเวนิสจึงได้รับฉายามากมาย ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก(Queen of the Adriatic),เมืองแห่งสะพาน(City of Bridge),เมืองแห่งสายน้ำ(City of water)รวมถึงเมืองแห่งแสงสว่าง(The City of Light) อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกอีกด้วย

ไปกัน➡️➡️➡️การเดินทางไปเมืองเวนิสไปได้หลายทางมากๆค่ะ โดยเครื่องบิน,รถประจำทาง,รถไฟ แอดและครอบครัวเลือกเดินทางโดยรถไฟ ใช้เวลาเที่ยว 1 วันไปเช้าและกลับเย็นค่ะ

เริ่มจากสถานีรถไฟSan Bonifacio(เวโรน่า) – Venezia S.Lucia ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 10 นาทีรถไฟขับข้ามน้ำเข้าไปที่เวนิส เลยจ้า…เลิศมากกกกก👍👍ลงรถไฟปุ๊บ!!เดินออกจากสถานีรถไฟ ไม่ถึง 5 นาที ตลึงกับความสวยงามของเมืองเวนิสจริงๆ ว้าว ว้าว ว้าว 😃😃😃

การเที่ยวชมในเมืองเวนิส สามารถเดินเที่ยวได้ทั้งเมือง หรือจะขึ้นเรือโดยสารแบบเรือแท็กซี่(Water Taxi)แต่สำหรับคู่รักคงไม่พลาดการขึ้นเรือกอนโดล่า(Gondola)ซึ่งเป็นเรือแบบท้องถิ่น เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวในเมืองเวนิสที่ทำให้เข้าถึงวิถีชีวิตของคนเมืองได้เป็นอย่างดี

สะพานรีอัลโต(Ponte di Rialto) เป็นหนึ่งในสะพานข้ามแกรนด์คาแนล ที่มีนักท่องเที่ยวมาแวะถ่ายรูปมากที่สุด สะพานแห่งนี้เชื่อมระหว่างเกาะ San Marco กับเกาะ San Polo) บริเวณทั้งสองฝั่งของสะพานเต็มไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขายของที่ระลึกต่างๆมากมาย

พระราชวังดอจ(Doge’s Palace)หรือพระราชวังดูคาเล(Palazzo Ducale) เป็นพระราชวังของผู้ปกครองสูงสุดของเมืองเวนิส สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 ภายในประดับด้วยทองคำและภาพจิตรกรรมมากมาย

นอกจากความสวยงามแล้วชั้นใต้ดินของวัง ยังมีคุกขังนักโทษซึ่งถูกเชื่อมด้วยทางเดินแคบๆ ไปยังสะพานข้ามคลองสู่แดนคุมขัง สะพานแห่งนี้จึงเรียกว่า”สะพานถอนหายใจ”(Ponte di Sospiri หรือ Bridge of Sighs)ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำพาเลซ ที่เรียกว่าสะพานถอนหายใจ เพราะนักโทษที่เดินข้ามไปยังเรือนจำมักจะถอนหายใจ เพราะพวกเขาจะได้เห็นเมืองผ่านหน้าต่างและเป็นโอกาศสุดท้ายที่จะได้เห็นแสงอาทิตย์ สะพานโค้งข้ามคลองมีหลังคาและผนังที่แข็งแรงมากเพื่อป้องกันนักโทษไม่ให้กระโดดน้ำหนี

มหาวิหารเซนต์มาร์ค(Basilica di San Marco) โบสถ์สำคัญของเมืองเวนิส สร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ.823 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานศิลปะหลายยุคเข้าไว้ด้วยกัน หลังคาของมหาวิหารสร้างแบบโดมสุเหร่าของศาสนาอิสลาม โดมกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด ประดับโมเสกสีทองตั้งแต่หลังคาจรดพื้น จึงได้รับสมญานามว่า “Church of Gold”

จตุรัสเซนต์มาร์ค(Piazza San Marco)เป็นจตุรัสที่มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นศูนย์กลางของเมืองเวนิส

หอระฆังซานมา์โก(Campanile Di San Marco) เป็นหอระฆังที่ตั้งอยู่ด้านหน้ามหาวิหารเซนต์มาร์ค มีความสูง 98 เมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ และยังสามารถเดินขึ้นไปชมวิวสวยๆของเมืองเวนิสได้อีกด้วย

แกรนด์ คาแนล (Grand Canal) หรือ “คานาเล่ แกรนด์” เป็นคลองสายหลักและเป็นเส้นทางคมนาคมที่มีชื่อเสียงของเมืองเวนิสและเป็นจุดที่นักท่องเที่ยว ที่ต้องการล่องเรือกอนโดล่าเพื่อชมบรรยากาศความสวยงาม และวิถีชีวิตของชาวเมืองเวนิส และยังผ่านสถานที่เที่ยวสำคัญๆอีกด้วยจ้าทุกคน😄

💕ใครที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวชมเมืองเวนิส จะตราตรึงกับบรรยากาศความสายงามอันสุดแสนโรแมนติกของเมืองแห่งสายน้ำ ซึ่งแอดและครอบครัวก็เช่นกันจ้า…หลงรักเวนิส💕😄

มหาวิหารซานต้า มาเรีย มัจโจเร(Basilica Santa Maria Maggiore)

Basilica Santa Maria Maggiore ตั้งอยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นมหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงโรม เป็นหนึ่งในสี่มหาวิหารเอกของโรมันคาทอลิก ที่ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมแบบโรมันและบาโรกได้เป็นอย่างดี แม้จะได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 1348 ก็ตาม มหาวิหารแห่งนี้มีตำนานการก่อสร้างที่น่ามหัศจรรย์เกี่ยวกับหิมะในฤดูร้อน โดยเชื่อกันว่าวิหารนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของพระแม่มาเรียที่ปรากฏตัวให้พระสันตะปาปาเห็นและทำการกำหนดจุดที่ต้องการสร้างด้วยการเนรมิตหิมะในฤดูร้อน

มหารวิหารแห่งนี้โดดเด่นด้วยหอระฆังที่สูงถึง 75 เมตรและตรงกลางของโบสถ์จะเป็นหอนาฬิกาโทนสีทอง ภายในมหาวิหารตกแต่งหรูหราสวยงามมากๆค่ะ ด้านบนเพดานเป็นภาพวาดลวดลายสวยงามสลับกับภาพโมเสกสีทองของซุ้มประตูชัยที่บอกเล่าเรื่องราวของพระเยซูและด้านในสุดของโบสถ์จะมีแท่นพิธีขนาดใหญ่ สำหรับประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์

แอดเองเกือบจะไม่ได้แวะชมมหาวิหารแห่งนี้เสียแล้ว!! แต่บังเอิญว่าอยู่ใกล้ที่พัก เช็คเอาท์ออกมายังพอมีเวลาเหลือ มองเห็นคนนั่งที่ลานกว้างหน้ามหาวิหารและต่อคิวเข้าชมเยอะมาก เลยทำให้อยากรู้จ้า!! และตัดสินใจต่อคิวเข้าชมมหาวิหารแห่งนี้ทันทีค่ะ ที่สำคัญเข้าฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายจ้าทุกคน😁😁

แอบคิดว่า🤔 ถ้ามาถึงกรุงโรมแล้วไม่ได้เข้าชมและเก็บภาพสวยๆของมหาวิหารแห่งนี้มาฝาก คงเสียใจแย่เลยค่ะ มาถึงกรุงโรมก็อย่าลืมเที่ยวชม มหาวิหารซานต้า มาเรีย มัจโจเร( Basilica Santa Maria Maggiore) กันนะคะ😄😄💕💕